วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Week 9 เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ(3)

''สวัสดีค่ะเจอกันอีกแล้ววววววว5555555555วันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกันต่อ
ชีวิตนี้มีแต่เที่ยวเที่ยวเที่ยวครั้งนี้มาเที่ยวในประเทศไทยกันบ้างส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยยยย''

หลายที่หลายจังหวัดที่คนยังไม่เคยไปอยากไปแต่ยังไม่มีโอกาสไม่ก็ไม่รู้ว่ามีที่แห่งนี้อยู่ด้วยหรออออ 
วันนี้เราจะมาแนะนำที่เย็นๆบรรยากาศสวยๆกัน

มาเริ่มกันที่ภาคใต้ไปชมกันเล้ยยยยยยยย

 1. แพ 500 ไร่ เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เขื่อนรัชชประภา มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลานเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อก่อนสร้างแล้วเสร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา” มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร”
เขื่อนรัชชประภา สร้างปิดกั้นลำน้ำคลองแสง ที่บ้านเชี่ยวหลาน ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยพื้นทีส่นใหญ่ติดอุทยานแห่งชาติเขาสกเกือบทั้งหมด เป็น เขื่อนหินถมแกนดินเหนียว สูง 94 เมตร ความยาวสันเขื่อน 761 เมตร


ที่พัก แพริมน้ำ ที่พักริมน้ำ ที่พักวิวสวย ที่พักบรรยากาศดี ที่พักเขื่อน ที่พักเงียบสงบ แพ 500 ไร่ ที่พักสุราษฎร์ธานี


ที่พัก แพริมน้ำ ที่พักริมน้ำ ที่พักวิวสวย ที่พักบรรยากาศดี ที่พักเขื่อน ที่พักเงียบสงบ แพ 500 ไร่ ที่พักสุราษฎร์ธานี
 
ที่พัก แพริมน้ำ ที่พักริมน้ำ ที่พักวิวสวย ที่พักบรรยากาศดี ที่พักเขื่อน ที่พักเงียบสงบ แพ 500 ไร่ ที่พักสุราษฎร์ธานี 
 ที่พัก แพริมน้ำ ที่พักริมน้ำ ที่พักวิวสวย ที่พักบรรยากาศดี ที่พักเขื่อน ที่พักเงียบสงบ แพ 500 ไร่ ที่พักสุราษฎร์ธานี

เป็นไงกันบ้างกับที่แรกของเราสวยใช่มั้ยยยยยน่าไปมากๆเราก็อยากไป เก็บตังยาวๆเลยย5555555

มาดูที่ที่ 2 กันดีกว่า
ไปภาคใต้แล้วเราเปลี่ยนเป็นภาคเหนือกันบ้าง

2.ม่อนแจ่ม จ.เชียงใหม่ 

 ม่อนแจ่ม หรือ ดอยม่อนแจ่ม เป็นส่วนหนึ่งของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม มองเห็นวิวทิวเขาซับซับซ้อน แถมยามค่ำคืนฟากฟ้าแวดล้อมไปด้วยดวงดารา ส่องแสงประกายระยิบระยับ จึงไม่แปลกที่ผู้คนต่างก็อยากไปสัมผัสกับความงดงาม

ม่อนแจ่ม

ต่อไปที่ที่ 3 เรามาเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพกันดีกว่า

สวยๆเย็นๆต้องนี่เลยเกาะล้านนนน

3.เกาะล้าน ชลบุรี

          เกาะล้าน ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากชายฝั่งพัทยาเพียงแค่ 7 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ เพราะน้ำทะเลที่เกาะล้านนี้ใสมากๆอีกด้วย

 

  

4. ดอยเสมอดาว จ.น่าน

เป็นอีกสถานที่ที่เหมะกับการดูดาว ชมทะเลหมอก และชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกในเวลาเดียวกัน แนะนำให้มากางเต็นท์นอนดูดาวสักคืน




 


 ไปเผื่อเรากันด้วยนะวันนี้เอามาพูดแค่ 4 ที่เท่านั้นประเภทไทยมีที่อีกเยอะแยะมากมายที่ควรไปวันหลังนะมาใหม่บัยยยย

ขอขอบคุณรูปและข้อมูลจาก
 http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/002049/lang/th/
http://travel.kapook.com/view53135.html 
http://pantip.com/topic/32810498

Week 8 Review/แนะนำ การใช้งาน 1 โปรแกรม

''สวัสดีค่ะวันนี้เราแนะนำและรีวิว VSCO Cam กันค่ะเจ้านี่คือโปรแกรมแต่งรูปที่คนนิยมใช้กันในตอนนี้มาดูหน้าตาของมันกันดีกว่า''


หลายคนคงคุ้นๆงั้นเรามาเริ่มตั้งแต่การโหลดกันเลยดีกว่า

เราใช้ซัมซุงในการโหลดแอพนี้นะคะก่อนอื่นก็เข้า play สโตร์แล้วพิมพ์คำว่า VSCO Cam มันก็จะขึ้นใช้ตามรูปเลยค่ะ


จากนั้นก็กดเข้าไปโหลดได้เลยค่ะ
นี่คือหน้าตาของมันหลังโหลดเสร็จค่ะ
 

จากนั้นเราก็ลองกดเข้าไปที่แอพกันเลย 
 ข้างในแอพก็จะเป็นตามรูปอันนี้เราลองแต่งเล่นๆไปแล้ว
เราก็แต่งไม่ค่อยจะเป็นเท่าไหร่แต่เห็นแอพนี้มันดีจริงๆเลยเอามาแนะนำT__T
 


เรามาเริ่มขั้นแรกกันดีกว่าก่อนอื่นก็กดตรงเครื่องหมาย + เพื่อเลือกรูปที่เราต้องการจะแต่ง
 พอเลือกเสร็จรูปก็จะมาอยู่ในหน้านี้ให้เรากดที่รูปแล้วมันจะขึ้นแถบด้านล่างมาให้กดที่อันแรกค่ะ


พอกดไปก็จะมาอยู่ในหน้านี้
แอพนี้จะมี filter สวยๆให้เยอะแยะเลยลองมาดูตัวอย่างกัน

 อันนี้คือรูปที่เลือกมานะคะ


 มาดูรูปพอใช้ filter ต่างๆกันค่ะ




ถ้าเกิดใครอยากจะแต่งสีแสงความเข้มของรูปภาพเองให้กดตรงลูกศรตามรูปค่ะ
 

พออยู่ในหน้านี้เสร็จแล้วให้กดที่อันที่สองค่ะ
แล้วก็จะมาอยู่ในหน้านี้ให้เราเลือกความสว่างและอื่นๆได้ตามใจเลยค่ะ



พอแต่งรูปเสร็จแล้วรูปจะกลับมาอยู่ในหน้านี้ค่ะ


ถ้าเราจะบันทึกรูปก็กดที่ตัวรูปแล้วกดที่ลูกศรชี้ขึ้นก็จะมีให้เราแชร์ลงไลน์เล่นเฟสบุ๊คหรือเลือกที่จะบันทึกลงเครื่องก็ได้


แค่นี้เราก็ได้รูปสวยๆไว้ในเครื่องแล้วววว

 เป็นยังไงกันบ้างเอ่ยยยลองไปฝึกแต่งรูปกันนะ 
เราก็จะไปฝึกต่อฝีมือยังใช้ไม่ได้เลยยยยยยย ขอบคุณที่ดูจนจบบรัยยยยยยส์^^



วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 7 : คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

 สวัสดีค่ะสัปดาห์นี้เราจะมาพูดเรื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กันค่ะ
 เรามาทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กัน
คอมพิวเตอร์ (อังกฤษcomputer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีฟังก์ชันจำกัด
ประวัติของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากเทคโนโลยีสองชนิดที่แตกต่างกัน ได้แก่ การควายคำนวณโดยอัตโนมัติ กับการคำนวณที่สามารถโปรแกรมได้ (หมายถึงสร้างวิธีการทำงานและปรับแต่งได้) แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีชนิดใดเกิดขึ้นก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการคำนวณแต่ละชนิดนั้นไม่มีความสอดคล้องกัน อุปกรณ์บางชนิดก็มีความสำคัญที่จะเอ่ยถึง อย่างเช่นเครื่องมือเชิงกลเพื่อการคำนวณบางชนิดที่ประสบความสำเร็จและยังใช้กันอยู่หลายศตวรรษก่อนที่จะมีเครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์ อาทิลูกคิดของชาวสุเมเรียนที่ถูกออกแบบขึ้นราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ชนะการแข่งขันความเร็วในการคำนวณต่อเครื่องคำนวณตั้งโต๊ะเมื่อ ค.ศ. 1946 ที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1620 มีการประดิษฐ์สไลด์รูล ซึ่งถูกนำขึ้นยานอวกาศในภารกิจของโครงการอะพอลโลถึง 5 ครั้ง รวมถึงเมื่อครั้งที่สำรวจดวงจันทร์ด้วย นอกจากนี้ยังมี เครื่องทำนายตำแหน่งดาวฤกษ์ (Astrolabe) และ กลไกอันติคือเธรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณ (คอมพิวเตอร์) เกี่ยวกับดาราศาสตร์ยุคโบราณที่ชาวกรีกเป็นผู้สร้างขึ้นราว 80 ปีก่อนคริสตกาล ที่มาของระบบการสั่งการโปรแกรมเกิดขึ้นเมื่อ ฮีโรแห่งอเล็กซานเดรีย (c.10-70 AD) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกสร้างโรงละครที่ประกอบด้วยเครื่องจักร ใช้แสดงละครของขวัญความยาว 10 นาที และทำงานโดยมีกลไกเชือกและอิฐบล็อกทรงกระบอกที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะชิ้นส่วนกลไกใดใช้ในการแสดงฉากใดและเมื่อใด
ราว ๆ ปลายศตวรรษที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 นักบวชชาวฝรั่งเศส ได้นำลิ้นชักบรรจุอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จะตอบคำถามได้ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เมื่อถูกถามคำถาม (ด้วยเลขฐานสอง) ซึ่งชาวมัวร์ประดิษฐ์ไว้กลับมาจากประเทศสเปน ในศตวรรษที่ 13 นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส และโรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ได้สร้างหุ่นยนต์แอนดรอยด์ (android) พูดได้ โดยไม่ได้พัฒนาใด ๆ ต่ออีก (นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส บ่นออกมาว่าเขาเสียเวลาเปล่าไป 40 ปีในชีวิต เมื่อนักบุญโทมัส อควีนาสตกใจกับเครื่องนี้และได้ทำลายมันเสีย)
ในปี ค.ศ. 1642 แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการประดิษฐ์เครื่องคำนวณของปาสคาลซึ่งเป็นเครื่องคำนวณตัวเลขเชิงกล เป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถคำนวณโดยใช้ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องพึ่งสติปัญญามนุษย์ เครื่องคำนวณเชิงกลนี้ยังถือเป็นรากฐานของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสองทาง แรกเริ่มนั้น ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องคำนวณที่มีสมรรถภาพสูงและยืดหยุ่น ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกสร้างโดยชาร์ลส แบบเบจ และได้รับการพัฒนาในเวลาต่อมา นำไปสู่การพัฒนาเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 และในขณะเดียวกัน อินเทล ก็สามารถประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นหัวใจสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์หากไม่คำนึงถึงขนาดและวัตถุประสงค์ ขึ้นได้โดยบังเอิญ ระหว่างการพัฒนาเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ บิซิคอม ที่พัฒนาสืบต่อจากเครื่องคำนวณเชิงกลโดยตรง

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษcomputer network; ศัพท์บัญญัติว่า ข่ายงานคอมพิวเตอร์) คือเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผลหน่วยความจำหน่วยจัดเก็บข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้
อุปกรณ์เครือข่ายที่สร้างข้อมูล, ส่งมาตามเส้นทางและบรรจบข้อมูลจะเรียกว่าโหนดเครือข่าย. โหนดประกอบด้วยโฮสต์เช่นเซิร์ฟเวอร์, คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย อุปกรณ์สองตัวจะกล่าวว่าเป็นเครือข่ายได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการในเครื่องหนึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระบวนการในอีกอุปกรณ์หนึ่งได้
เครือข่ายจะสนับสนุนแอปพลิเคชันเช่นการเข้าถึงเวิลด์ไวด์เว็บ, การใช้งานร่วมกันของแอปพลิเคชัน, การใช้เซิร์ฟเวอร์สำหรับเก็บข้อมูลร่วมกัน, การใช้เครื่องพิมพ์และเครื่องแฟ็กซ์ร่วมกันและการใช้อีเมลและโปรแกรมส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีร่วมกัน
สื่อกลางการสื่อสารที่ใช้ในการเชื่อมโยงอุปกรณ์เพื่อสร้างเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยสายเคเบิลไฟฟ้า (HomePNA, สายไฟฟ้าสื่อสาร, G.hn), ใยแก้วนำแสง และคลื่นวิทยุ (เครือข่ายไร้สาย) ในโมเดล OSI สื่อเหล่านี้จะถูกกำหนดให้อยู่ในเลเยอร์ที่ 1 และที่ 2 หรือชั้นกายภาพและชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
ครอบครัวของสื่อการสื่อสารที่ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวางและถูกนำมาใช้ในเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) เรียกว่า อีเธอร์เน็ต มาตรฐานของสื่อกลางและของโพรโทคอลที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายอีเธอร์เน็ตถูกกำหนดโดยมาตรฐาน IEEE 802. อีเธอร์เน็ตในโลกไซเบอร์มีทั้งเทคโนโลยีของ LAN แบบใช้สายและแบบไร้สาย อุปกรณ์ของ LAN แบบใช้สายจะส่งสัญญาณผ่านสื่อกลางที่เป็นสายเคเบิล อุปกรณ์ LAN ไร้สายใช้คลื่นวิทยุหรือสัญญาณอินฟราเรดเป็นสื่อกลางในการส่งผ่านสํญญาณ
เทคโนโลยีแบบใช้สาย
เทคโนโลยีแบบใช้สายต่อไปนี้เรียงลำดับตามความเร็วจากช้าไปเร็วอย่างหยาบๆ
รูปแสดงสาย UTP
สายคู่บิดเป็นสื่อที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดสำหรับการสื่อสารโทรคมนาคมทั้งหมด สายคู่บิดประกอบด้วยกลุ่มของสายทองแดงหุ้มฉนวนที่มีการบิดเป็นคู่ๆ สายโทรศัพท์ธรรมดาที่ใช้ภายในบ้านทั่วไปประกอบด้วยสายทองแดงหุ้มฉนวนเพียงสองสายบิดเป็นคู่ สายเคเบิลเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (แบบใช้สายอีเธอร์เน็ตตามที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEEE 802.3) จะเป็นสายคู่บิดจำนวน 4 คู่สายทองแดงที่สามารถใช้สำหรับการส่งทั้งเสียงและข้อมูล การใช้สายไฟสองเส้นบิดเป็นเกลียวจะช่วยลด crosstalk และการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างสายภายในเคเบิลชุดเดียวกัน ความเร็วในการส่งอยู่ในช่วง 2 ล้านบิตต่อวินาทีถึง 10 พันล้านบิตต่อวินาที สายคู่บิดมาในสองรูปแบบคือคู่บิดไม่มีต้วนำป้องกัน(การรบกวนจากการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก) (unshielded twisted pair หรือ UTP) และคู่บิดมีตัวนำป้องกัน (shielded twisted pair หรือ STP) แต่ละรูปแบบออกแบบมาหลายอัตราความเร็วในการใช้งานในสถานการณ์ต่างกัน
รูปแสดง STP จะเห็น sheath ที่เป็นตัวนำป้องกันอยู่รอบนอก
สายโคแอคเชียลถูกใช้อย่างแพร่หลายสำหรับระบบเคเบิลทีวี, ในอาคารสำนักงานและสถานที่ทำงานอื่นๆ ในเครือข่ายท้องถิ่น สายโคแอคประกอบด้วยลวดทองแดงหรืออะลูมิเนียมเส้นเดี่ยวที่ล้อมรอบด้วยชั้นฉนวน (โดยปกติจะเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นกับไดอิเล็กทริกคงที่สูง) และล้อมรอบทั้งหมดด้วยตัวนำอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าจากภายนอก ฉนวนไดอิเล็กทริกจะช่วยลดสัญญาณรบกวนและความผิดเพี้ยน ความเร็วในการส่งข้อมูลอยู่ในช่วง 200 ล้านบิตต่อวินาทีจนถึงมากกว่า 500 ล้านบิตต่อวินาที
รูปแสดงสายโคแอคเชียล
'ITU-T G.hn เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สายไฟที่มีอยู่ในบ้าน (สายโคแอค, สายโทรศัพท์และสายไฟฟ้า) เพื่อสร้างเครือข่ายท้องถิ่นความเร็วสูง (ถึง 1 Gb/s)
ใยแก้วนำแสง เป็นแก้วไฟเบอร์ จะใช้พัลส์ของแสงในการส่งข้อมูล ข้อดีบางประการของเส้นใยแสงที่เหนือกว่าสายโลหะก็คือมีการสูญเสียในการส่งน้อยและมีอิสรภาพจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและมีความเร็วในการส่งรวดเร็วมากถึงล้านล้านบิตต่อวินาที เราสามารถใช้ความยาวคลื่นที่แตกต่างของแสงที่จะเพิ่มจำนวนของข้อความที่ถูกส่งผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงพร้อมกันในเส้นเดียวกัน
เทคโนโลยีไร้สาย
'ไมโครเวฟบนผิวโลก - การสื่อสารไมโครเวฟบนผิวโลกจะใช้เครื่องส่งและเครื่องรับสัญญาณจากสถานีบนผิวโลกที่มีลักษณะคล้ายจานดาวเทียม ไมโครเวฟภาคพื้นดินอยู่ในช่วงกิกะเฮิรตซ์ที่ต่ำ ซึ่งจำกัดการสื่อสารทั้งหมดด้วยเส้นสายตาเท่านั้น สถานีทวนสัญญาณมีระยะห่างประมาณ 48 กิโลเมตร (30 ไมล์)
ดาวเทียมสื่อสาร - การสื่อสารดาวเทียมผ่านทางคลื่นวิทยุไมโครเวฟที่ไม่ได้เบี่ยงเบนโดยชั้นบรรยากาศของโลก ดาวเทียมจะถูกส่งไปประจำการในอวกาศ ที่มักจะอยู่ในวงโคจร geosynchronous ที่ 35,400 กิโลเมตร (22,000 ไมล์) เหนือเส้นศูนย์สูตร ระบบการโคจรของโลกนี้มีความสามารถในการรับและถ่ายทอดสัญญาณเสียง, ข้อมูลและทีวี
ระบบเซลลูลาร์และ PCS ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารวิทยุหลายเทคโนโลยี ระบบแบ่งภูมิภาคที่ครอบคลุมออกเป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลายพื้นที่ แต่ละพื้นที่มีเครื่องส่งหรืออุปกรณ์เสาอากาศถ่ายทอดสัญญาณวิทยุพลังงานต่ำเพื่อถ่ายทอดสัญญาณเรียกจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งข้างหน้า
เทคโนโลยีวิทยุและการแพร่กระจายสเปกตรัม - เครือข่ายท้องถิ่นไร้สายจะใช้เทคโนโลยีวิทยุความถี่สูงคล้ายกับโทรศัพท์มือถือดิจิทัลและเทคโนโลยีวิทยุความถี่ต่ำ. LAN ไร้สายใช้เทคโนโลยีการแพร่กระจายคลื่นความถี่เพื่อการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หลายชนิดในพื้นที่จำกัด. IEEE 802.11 กำหนดคุณสมบัติทั่วไปของเทคโนโลยีคลื่นวิทยุไร้สายมาตรฐานเปิดที่รู้จักกันคือ Wifi
การสื่อสารอินฟราเรด สามารถส่งสัญญาณระยะทางสั้นๆมักไม่เกิน 10 เมตร ในหลายกรณีส่วนใหญ่ การส่งแสงจะใช้แบบเส้นสายตา ซึ่งจำกัดตำแหน่งการติดตั้งของอุปกรณ์การสื่อสาร
เครือข่ายทั่วโลก (global area network หรือ GAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้สำหรับการสนับสนุนการใช้งานมือถือข้ามหลายๆ LAN ไร้สาย หรือในพื้นที่ที่ดาวเทียมครอบคลุมถึง ฯลฯ ความท้าทายที่สำคัญในการสื่อสารเคลื่อนที่คือการส่งมอบการสื่อสารของผู้ใช้จากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่ง ใน IEEE 802 การส่งมอบนี้เกี่ยวข้องกับความต่อเนื่องของ LAN ไร้สายบนผิวโลก .
เทคโนโลยีที่แปลกใหม่
มีความพยายามต่างๆที่ขนส่งข้อมูลผ่านสื่อที่แปลกใหม่ ได้แก่:
  • IP over Avian Carriers เป็นอารมณ์ขันของ April's fool เป็น RFC 1149 มันถูกนำมาใช้ในชีวิตจริงในปี 2001.
  • ขยายอินเทอร์เน็ตเพื่อมิติอวกาศผ่านทางคลื่นวิทยุ.
ทั้งสองกรณีมีการหน่วงเวลาสูงอันเนื่องมาจากสัญญาณต้องเดินทางไปกลับ ซึ่งจะทำให้การสื่อสารสองทางล่าช้ามาก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการส่งข้อมูลจำนวนมาก
  หวังว่าเพื่อนๆจะได้ความรู้จากบทความนี้นะคะจุ้บบบบ


วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 6 วิเคราะห์ข้อสอบ onet คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ

''สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาวิเคราะห์ข้อสอบ Onet วิชาคอมพิวเตอร์หลายคนคงอยากรู้ว่า Onet คืออะไรสำคัญอย่างไรกับเด็ก ม.6 อย่างเรา''

http://img.kapook.com/image/education/onet_01.jpg
 
 ขอขอบคุณรูปภาพจาก: http://img.kapook.com/image/education/onet_01.jpg


           การสอบ O – NET (Ordinary National Educational Test)
          O – NET คือ แบบสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน เป็นการวัดผลการจัดการศึกษาขั้นพื้น         ฐาน จัดสอบ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ 
1. ภาษาไทย
2. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
3. ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
4. คณิตศาสตร์
5. วิทยาศาสตร์
6. สุขศึกษา
7. ศิลปะ
8. การงานอาชีพฯ
  
  ความสำคัญของการสอบ O-NET
สำหรับม.6 การสอบนี่เป็นส่วนหนึ่งของคะแนนที่จะนำไปใช้ในการสมัคร Admission 30%
 
เรามาเริ่มวิเคราะห์ข้อสอบโอเน็ตกันดีกว่า
 
1.ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
 
1.Microsoft Windows
2.Ubuntu
3.Symbian
4.MAC Address
 
 เฉลยข้อ4
เพราะ ข้อ 4 MAC Address (Media Access Control Address) คือ หมายเลขของ Network Card(LAN , Wireless LAN) 
ส่วนข้ออื่นเป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
 
2.การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Commerce) หมายถึงข้อใด

1.การสั่งโทรเลข สั่งซื้อสินค้า  
2.การส่งแฟกซ์ติดต่อการค้า
3.การใช้บัตรเครดิตชำระเงินค่าสินค้า 
4.การค้าขายที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

  เฉลยข้อ 4.  
เพราะ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ  หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถกระทำผ่าน โทรศัพท์เคลื่อนที่ การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การโฆษณาในอินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งซื้อขายออนไลน์
 
3.การบันทึกไฟล์วิดีโอจะมีรูปแบบนามสกุลตรงกับข้อใด

      1. .avi                            2. .jpg
      3. .mp3                          4.  .bmp

  เฉลยข้อ. 1 
เพราะ AVI (Audio Video Interleave)ไฟล์ภาพยนตร์ ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งดูผ่านคอมพิวเตอร์ โดยจะสามารถเปิดทั้งภาพและเสียงพร้อมกันได้ทันที โปรแกรมที่ใช้เปิดไฟล์จำพวกนี้ ได้แก่ Windows Media Player,Quick Time เป็นต้น
 
4.ถ้าต้องการพิมพ์แบบทางวิศวกรรมควรเลือกใช้เครื่องพิมพ์ชนิดใด
  
1. plotter
2. laser printer
3. inkjet printer
4.dot matrix printer
 
  เฉลยข้อ 1. 
เพราะข้อ1.เป็นเครื่องพิมพ์แบบที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ประเภทนี้เหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกรและสถาปนิก
 
5.ห้องสมุดแห่งหนึ่งต้องการพัฒนาระบบการยืมหนังสือโดยสามารถบันทึกข้อมูล การยืมหนังสือลงบนบัตรอิเลคโทรนิคส์โดยไม่ต้องเขียนด้วยลายมือ ระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีข้อใด
  
1. Smart card 
2. Fingerprint 3. Barcode 4. WIFI
 
เฉลยข้อ 3.
เพราะข้อ3.Barcode คือ การใช้เครื่องยิงไปที่แถบบาร์โค๊ดเพื่ออ่านข้อมูลแบบห้องสมุดต่างๆ
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 :http://www.wanyai.ac.th/OnetT6.pdf
 :http://forum.02dual.com/index.php?topic=1470.0
 :http://www.onet.in.th/o-net-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/ 
 :https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 5 เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ2 (เทคนิคง่ายๆในการอ่านหนังสือ)

เทคนิคง่ายๆในการอ่านหนังสือ
   "สวัสดีค่ะช่วงนี้คงเป็นช่วงที่มอหกทุกคนต้องเตรียมตัวในการอ่านหนังสือเพื่อเข้ามหาลัยบวกกับการสอบภาคกลางปลายภาคที่ต้องทำคะแนนให้ได้ดีๆจะได้เกรดสวยๆเอามาเป็นคะแนนในการเข้ามหาลัย เราเป็นคนหนึ่งที่พอเปิดหนังสือปุ๊ปหลับปั๊ปไม่ก็อ่านไปกี่รอบกี่รอบก็ไม่เข้าใจอ่านไม่ทันกับหนังสือที่กองตรงหน้าเป็นตั้งๆมีใครเป็นเหมือนเราบ้าง55555555555"

https://pornsuda127.files.wordpress.com/2013/01/sakid_book-18_0-out.jpg 
ขอบคุณรูปภาพจาก:https://pornsuda127.files.wordpress.com/2013/01/sakid_book-18_0-out.jpg


วันนี้เราไปเจอเทคนิคในการอ่านหนังสือให้รวดเร็วและเข้าใจมาเราเลยเอามาบอกกับทุกคน ให้ทุกคนเตรียมตัวไปอ่านกันก่อนล่วงหน้าเพื่อจะให้ได้เกรดงามๆในปีสุดท้าย และเพื่อให้ความฝันในการได้เข้ามหาลัยที่ตนเองอยากเข้าเป็นจริง เรามาดูกันเลยว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง.....


1.ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เฟสบุ๊ค ไลน์ 
จะทำให้เรามีสติอยู่กับหนังสือที่เราจะอ่านมากยิ่งขึ้น

 เคล็ด(ไม่)ลับ “อ่านเร็ว-จำแม่น” อยากได้เกรด A เชิญทางนี้!!
 ขอขอบคุณรูปภาพจาก:http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000142469

2.นั่งสมาธิสัก 5 นาที  
 เพื่อที่เราจะได้มีสติอยู่กับหนังสือ

 
 ขอบคุณรูปภาพจาก:http://www.magazinedee.com/member/images/ikkyu.jpg

3.อ่านบทสรุปของเนื้อหา
   วิธีที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจไวและเห็นภาพรวมของเนื้อหามากขึ้น นั้นคือการอ่านบทสรุปก่อน เพราะผู้เขียนจะสรุปเนื้อหาและข้อมูลทั้งหมดไว้ในส่วนท้ายของเนื้อหา เมื่อเราอ่านส่วนท้ายบทแล้ว จะทำให้มองเห็นภาพรวมของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อกลับมาอ่านเนื้อหาแรกเริ่มอีกครั้งจะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย

 
ขอขอบคุณรูปภาพจาก:http://www.thaihealth.or.th/data/content/27578/cms/thaihealth_c_acdeikmsxy24.jpg

4.ปากกาไฮไลต์เป็นตัวช่วยอย่างดีในการจำ
   ปากกาไฮไลต์ถือเป็นเครื่องช่วยเน้นใจความสำคัญของเนื้อหาได้ดีเลยทีเดียวเพราะเมื่อเรากลับมาอ่านในส่วนที่เราเน้นเอาไว้จะทำให้เราจำได้ดีกว่าส่วนที่ไม่ได้ไฮไลต์แต่อีกปัญหาในการขีดเขียนการไฮไลต์ลงไปในหนังสือในชีทแต่เราเกินทำมากเกินขีดเส้นใต้เต็มหน้าจะทำให้พอเรากลับมาดูเราอาจจะงงๆดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการไฮไลต์ส่วนสำคัญที่อาจารย์ผู้สอนพูดสรุปไว้

 เคล็ด(ไม่)ลับ “อ่านเร็ว-จำแม่น” อยากได้เกรด A เชิญทางนี้!!
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000142469

5.อ่านหัวข้อที่น่าสนใจ
    การแก้ปัญหาการอ่านทุกบรรทัดแต่ไม่เข้าหัว ดูสารบรรณและหัวข้อ ที่น่าสนใจ หรือใช้วิธีการอ่านผ่านๆ อย่างรวดเร็วด้วยการกวาดตา จนเจอหัวข้อที่น่าสนใจถึงหยุดอ่านอย่างตั้งใจ และการอ่านแบบนี้เองจะทำให้ช่วยประหยัดเวลาได้ดี รวมถึงไม่ทำให้ผู้อ่านเบื่อหน่าย เพราะได้อ่านสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ นอกจากนี้การดูสารบรรณและหัวข้อย่อยของเนื้อหาจะทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพรวม ของเนื้อหาในเล่ม และได้รู้ลำดับเนื้อหาก่อนหลังของหนังสือได้อย่างเข้าใจ

 http://clpd.psu.ac.th/clpd_2012/phocadownload/moral_media/category03_skills/skills_57006.jpg
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: http://clpd.psu.ac.th/clpd_2012/phocadownload/moral_media/category03_skills/skills_57006.jpg

 6.อย่าอ่านทุกคำทุกตัวอักษร
 หลายคนคงมีความคิดที่ว่า “ยิ่งอ่านเยอะ ยิ่งได้ความรู้เยอะ” แต่ใช้ไม่ได้เสมอไป เพราะยิ่งอ่านเยอะมากเท่าไหร่ หรืออ่านทุกๆ คำของเนื้อหา อาจทำให้สมองอ่อนล้าและได้รับข้อมูลที่มากเกินจำเป็น จนพลอยปวดหัวเลิกอ่านไปในที่สุด

 http://infographic.in.th/wp-content/uploads/2014/09/-----6---YzTtEiMg.jpg
 ขอขอบคุณรูปภาพจาก:http://infographic.in.th/wp-content/uploads/2014/09/-----6---YzTtEiMg.jpg

7.จับกลุ่มคุยสิ่งที่อ่านมากับเพื่อนๆในกลุ่ม
   วิธีที่ช่วยให้การอ่านเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นคือการพูดคุยถึงสิ่งที่เราอ่านมากับเพื่อนๆ นั้นเอง วิธีนี้มีส่วนช่วยในการจดจำสิ่งที่เราอ่านได้มากที่สุด ยิ่งตอนจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆ พูดถึงเนื้อหาบางส่วนด้วยมุขตลกๆ ด้วยแล้ว หรือจะสร้างวิธีการจดจำเนื้อหาด้วยประโยคหรือมุขเฉพาะตัว ก็จะยิ่งทำให้จดจำได้ดีขึ้น และเมื่อเราอยู่ในห้องสอบก็จะทำให้เราจำประเด็นนั้นได้ เพราะเราจะคิดถึงเรื่องตลกก่อน ถือเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ทั้งผู้ฟังและผู้พูดได้ประโยชน์ร่วมกัน และสร้างการจดจำเพื่อใช้ในการสอบได้ดีทีเดียว

 เคล็ด(ไม่)ลับ “อ่านเร็ว-จำแม่น” อยากได้เกรด A เชิญทางนี้!!
  ขอขอบคุณรูปภาพจาก:http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000142469
 
 8.การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

 http://www.thaihealth.or.th/data/content/19752/cms/einoqruy1469.jpg

ขอขอบคุณรูปภาพจาก:http://www.thaihealth.or.th/data/content/19752/cms/einoqruy1469.jpg
 
     เป็นไงบ้างกับวิธีที่เรานำมาฝากในวันนี้ ถ้าทุกคนนำมาปรับใช้กับตัวเองเชื่อว่าคะแนนสอบต้องเป็นไปตามที่ต้องการแน่นอนนน
 
ก่อนเราจะไปเราเอาวิธีฝึกสมาธิมาฝากทุกคน ให้ไปลองฝึกกันไปดูกันนเลยย.....

 เคล็ดลับฝึกสมาธิก่อนสอบ  
 
http://image.dek-d.com/contentimg/2014/may/infooooo(1).jpg
 
1.หากระดาษพื้นขาว 6 นิ้ว X 6 นิ้ว มา 1 แผ่น
2.วาด วงกลมขนาดเหรียญ 10 บาทขึ้น 1 วง
3.ตรงกลางวงให้ทําเป็นจุด สีเข้มๆขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ
 ....................................
เมื่อพร้อมแล้วปฎิบัติ.  (ทําก่อนอ่านหนังสือ  5 นาที)
 1.นั่งมองจุดสีเข้มตรงกลาง เริ่มแรกอาจจะคุมสมาธิลําบากหน่อย
 2.ถ้าฟุ้งซ่าน  พยายามดึงกลับมาขอให้อยู่ในวงกลม วงใหญ่
 3.เมื่อเริ่มมีสมาธินิ่งขึ้น ให้ดึงสมาธิให้อยู่ในจุดสีเข้มจุดเดียว..
 4.พยายามทําความคิดให้วิ่งอยู่ในวงกลม  อย่าให้เล็ดลอดออกไป.
    วงกลม.........ถ้าความคิดออกนอกวงกลม....ก็ดึงเข้ามาใหม่.
 5.เมื่อนิ่งแล้วให้เพ่งที่จุดกลางเพียงจุดเดียว.
นี่ คือการฝึกสมาธิให้อยู่เพียงจุดๆเดียว....เช่นการอ่านหนังสือ.. ถ้าเรามีสมาธิในการอ่านหนังสือ....เราสามารถอ่านแค่เที่ยวเดียว ก็จะจําได้.
พยายามลองฝึกดูทุกวันก่อนอ่านหนังสือ...วันละ 5 นาที.จะได้ผลมากเลย
                 .......................................................

ลองฝึกกันดูหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะบัยบายยยยยยยยยย^3^

ขอบขอบคุณข้อมูลจาก
:http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000142469
:http://www.dek-d.com/board/view/1610287/



วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์(C)

ภาษา C
ภาษาc

''สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับภาษา C กันหลายคนคงยังไม่รู้ว่าภาษาซีคืออะไรเอาไว้ใช้ทำอะไรวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับกับภาษาCกันค่ะ''

ก่อนอื่นเรามารู้หมายหมายของภาษาCกันดีกว่า......

    ภาษาซี (C Programming Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมทั่วไป ถูกพัฒนาครั้งแรกเพื่อใช้เป็นภาษาสำหรับพัฒนาระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ( Unix Opearating System) แทนภาษาแอสเซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สามารถกระทำในระบบฮาร์ดแวร์ได้ด้วยความรวดเร็วแต่จุดอ่อนของภาษาแอซเซมบลีก็คือความยุ่งยากในการโปรแกรม ความเป็นเฉพาะตัว และความแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง เดนนิส ริตชี (Dennis Ritchie) จึงได้คิดค้นพัฒนาภาษาใหม่นี้ขึ้นมาเมื่อประมาณต้นปี ค.ศ. 1970 โดยการรวบรวมเอาจุดเด่นของแต่ละภาษาระดับสูงผนวกเข้ากับภาษาระดับต่ำ

http://www.manager.co.th/asp-bin/ShowImage.aspx?ID=2047767&Width=350&Height=405

รูปข้างบนคือผู้คิดค้นภาษาซี เรามาทำความรู้จักบุคคลนี้กันเลยยยยยยยยยยย
 เดนนิส ริตชี่ (Dennis Ritchie) ผู้สร้างโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ "ภาษาซี (C programming language)"
เดนนิส ริตซี่หรือDennis Macalistair Ritchie เกิดที่เมือง Bronxville มลรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1941จากนั้นจึงย้ายไปเมืองนิวเจอร์ซีย์ตามคุณพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรระบบสวิตชิงให้กับบริษัทBell Laboratories หนุ่มน้อยริตชี่เรียนดีจนสามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสำเร็จปริญญาด้านฟิซิกส์ในปี 1963
      
       ที่ฮาร์วาร์ดนี้เองซึ่งทำให้ริตชี่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์การเข้าร่วมฟังบรรยายสอนเกี่ยวกับเครื่อง Univac 1 จุดประกายริตชี่อย่างจังและเป็นแรงบันดาลใจให้ริตชี่สมัครเข้าเรียนที่สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ในเวลาต่อมา
      
   MITได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งแรกๆของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมให้เป็น คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมีราคาประหยัดกว่าโดยในปี1967บริษัทBellLabsก็สามารถพัฒนาทรานซิสเตอร์(transistor)ซึ่งเป็นเบื้องหลังสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคลในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ทำให้ริตชี่เข้าร่วมโครงการสร้างระบบปฏิบัติการแนวคิดใหม่ Multics ของ Bell Labs พร้อมกับเคนเน็ธ ทอมป์สัน (Kenneth Thompson) ซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ Unix ในเวลาต่อมา
      
       บทบาทสำคัญของริตชี่คือการสร้างโปรแกรมภาษาซี ซึ่งสามารถทำให้ฮาร์ดแวร์สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าโปรแกรม ภาษาอื่นในอดีต โดยภาษาซีทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้ระบบปฏิบัติการเดียว, เครื่องมือตัวเดียว และภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาเดียวแต่สามารถจัดการฮาร์ดแวร์ข้ามระบบได้ แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันในที่สุด

 
 http://devcbytonfern.blogspot.com/

 หลายคนคงรู้ประวัติและความหมายของภาษาซีกันคร่าวๆแล้วต่อไปเรามารู้จักถึงประเภทของข้อมูลและตัวดำเนินการในภาษา c กัน

ประเภทของข้อมูล
จะเป็นการกำหนดให้ตัวแปรที่เราสร้างขึ้นมาใช้งาน มีประเภทของข้อมูลต่างๆ ตามที่เราต้องการ โดยสามารถแยกประเภทของข้อมูลต่างๆ ได้ตามตาราง

http://www.comnetsite.com/images/c-programming-tip18_1.gif
 
ตัวดำเนินการในภาษา C

เครื่องหมายดำเนินการในภาษา C แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ใหญ่ๆ คือ

1. เครื่องหมายคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operators) 

 

 2. เครื่องหมายเปรียบเทียบ (Relational and Logical Operators)

 


3. เครื่องหมายตรรก (Logical Operators)

เครื่องหมาย && (AND)

เครื่องหมาย || (OR)
3. เครื่องหมาย ! (NOT)


ลำดับความสำคัญของตัวดำเนินการ
     เป็นการเรียงลำดับการดำเนินการทางเครื่องหมายของภาษา C ว่าจะให้ความสำคัญกับเครื่องหมายใดก่อนหรือหลังในการดำเนินการทางคณิศาสตร์ โดยจะเรียงลำดับความสำคัญจากตารางต่อไปนี้


เราลองมาดูตัวอย่างกันซักหน่อย


อธิบายโปรแกรม
จากตัวอย่างจะเห็นว่ามีการประกาศตัวแปร คือ x เป็นตัวแปรชนิดจำนวนเต็ม y และ z เป็นตัวแปรแบบทศนิยม x++ หมายถึง การนำค่า x มาบวกเพิ่มไปอีก 1 ส่วน z = (x+y)*2/3+1; เป็นการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ซึ่งค่าที่ได้จะนำไปเก็บไว้ที่ตัวแปร z จากประโยค (x+y)*2/3+1 นี้ เราสามารถคำนวณโดยใช้วิธีลำดับความสำคัญของตัวดำเนินการได้ดังนี้
วงเล็บสำคัญสุด
( x+y) = 3+3.5 = 6.5 ----------> 6.5*2/3+1
เครื่องหมายคูณสำคัญสุด
6.5*2 = 13 ----------> 13/3+1
เครื่องหมายหารสำคัญสุด
13/3 = 4.333333 ----------> 4.333333+1
z = 5.333333
เครื่องหมายและตัวดำเนินการต่างๆ ที่กล่าวถึงในบทความนี้จะถูกนำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมในครั้งต่อๆ ไป ให้ลองจดจำไว้เพื่อที่จะนำไปใช้งานได้อย่างคล่องตัวขึ้น ซึ่งเมื่อเราเขียนโปรแกรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตัวดำเนินการเหล่านี้จะมี ความสำคัญในการใช้งานมากขึ้นด้วย

ต่อไปเรามารู้ถึงข้อดีและข้อเสียของภาษาซีกันดีกว่าค้าาาา

ข้อดี

-เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่อาศัยหลักการที่เรียกว่า"โปรแกรมโครงสร้าง"จึงเป็นภาษาที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมระบบ
-เป็นคอมไพเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงให้รหัสออบเจ็กต์สั้นทำงานได้รวดเร็วเหมาะกับงานที่ต้องการความรวดเร็วเป็นสำคัญ
-มีความคล่องตัวคล้ายภาษาแอสแซมบลีภาษาซีสามารถเขียนแทนภาษาแอสแซมบลีได้ดีค้นหาที่ผิดหรือแก้โปรแกรมได้ง่ายภาษาซีจึงเป็นภาษาระดับสูงที่ทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ
-มีความคล่องตัวที่จะประยุกต์เข้ากับงานต่างๆได้เป็นอย่างดีการพัฒนาโปรแกรมเช่นเวิร์ดโพรเซสซิ่ง สเปรดชีต ดาตาเบส ฯลฯ มักใช้ภาษาซีเป็นภาษาสำหรับการพัฒนา
-เป็นภาษาที่มีอยู่บนเกือบทุกโปรแกรมจัดระบบงานมีในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่8บิตไปจนถึง32บิตเครื่องมินิคอมพิวเตอร์และเมนเฟรม
-เป็นภาษาที่รวมข้อดีเด่นในเรื่องการพัฒนาจนทำให้ป็นภาษาที่มีผู้สนใจมากมายที่จะเรียนรู้หลักการของภาษาและวิธีการเขียนโปรแกรมตลอดจนการพัฒนางานบนภาษานี้

ข้อเสีย
 - เป็นภาษาที่เรียนรู้ยาก
 - การตรวจสอบโปรแกรมทำได้ยาก
 - ไม่เหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการออกรายงานที่มีรูปแบบซับซ้อนมากๆ

จบแล้วขอบคุณข้อมูลดีๆและรูปภาพจาก
-https://sites.google.com/site/bbmm2553/prawati-khwam-pen-ma-khxng-phasa-si
-http://guru.sanook.com/6394/
-http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000131021
-http://www.comnetsite.com/c-programming-tip18.php