วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์(C)

ภาษา C
ภาษาc

''สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับภาษา C กันหลายคนคงยังไม่รู้ว่าภาษาซีคืออะไรเอาไว้ใช้ทำอะไรวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับกับภาษาCกันค่ะ''

ก่อนอื่นเรามารู้หมายหมายของภาษาCกันดีกว่า......

    ภาษาซี (C Programming Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมทั่วไป ถูกพัฒนาครั้งแรกเพื่อใช้เป็นภาษาสำหรับพัฒนาระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ( Unix Opearating System) แทนภาษาแอสเซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สามารถกระทำในระบบฮาร์ดแวร์ได้ด้วยความรวดเร็วแต่จุดอ่อนของภาษาแอซเซมบลีก็คือความยุ่งยากในการโปรแกรม ความเป็นเฉพาะตัว และความแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง เดนนิส ริตชี (Dennis Ritchie) จึงได้คิดค้นพัฒนาภาษาใหม่นี้ขึ้นมาเมื่อประมาณต้นปี ค.ศ. 1970 โดยการรวบรวมเอาจุดเด่นของแต่ละภาษาระดับสูงผนวกเข้ากับภาษาระดับต่ำ

http://www.manager.co.th/asp-bin/ShowImage.aspx?ID=2047767&Width=350&Height=405

รูปข้างบนคือผู้คิดค้นภาษาซี เรามาทำความรู้จักบุคคลนี้กันเลยยยยยยยยยยย
 เดนนิส ริตชี่ (Dennis Ritchie) ผู้สร้างโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ "ภาษาซี (C programming language)"
เดนนิส ริตซี่หรือDennis Macalistair Ritchie เกิดที่เมือง Bronxville มลรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1941จากนั้นจึงย้ายไปเมืองนิวเจอร์ซีย์ตามคุณพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรระบบสวิตชิงให้กับบริษัทBell Laboratories หนุ่มน้อยริตชี่เรียนดีจนสามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสำเร็จปริญญาด้านฟิซิกส์ในปี 1963
      
       ที่ฮาร์วาร์ดนี้เองซึ่งทำให้ริตชี่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์การเข้าร่วมฟังบรรยายสอนเกี่ยวกับเครื่อง Univac 1 จุดประกายริตชี่อย่างจังและเป็นแรงบันดาลใจให้ริตชี่สมัครเข้าเรียนที่สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ในเวลาต่อมา
      
   MITได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งแรกๆของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมให้เป็น คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมีราคาประหยัดกว่าโดยในปี1967บริษัทBellLabsก็สามารถพัฒนาทรานซิสเตอร์(transistor)ซึ่งเป็นเบื้องหลังสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคลในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ทำให้ริตชี่เข้าร่วมโครงการสร้างระบบปฏิบัติการแนวคิดใหม่ Multics ของ Bell Labs พร้อมกับเคนเน็ธ ทอมป์สัน (Kenneth Thompson) ซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ Unix ในเวลาต่อมา
      
       บทบาทสำคัญของริตชี่คือการสร้างโปรแกรมภาษาซี ซึ่งสามารถทำให้ฮาร์ดแวร์สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าโปรแกรม ภาษาอื่นในอดีต โดยภาษาซีทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้ระบบปฏิบัติการเดียว, เครื่องมือตัวเดียว และภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาเดียวแต่สามารถจัดการฮาร์ดแวร์ข้ามระบบได้ แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันในที่สุด

 
 http://devcbytonfern.blogspot.com/

 หลายคนคงรู้ประวัติและความหมายของภาษาซีกันคร่าวๆแล้วต่อไปเรามารู้จักถึงประเภทของข้อมูลและตัวดำเนินการในภาษา c กัน

ประเภทของข้อมูล
จะเป็นการกำหนดให้ตัวแปรที่เราสร้างขึ้นมาใช้งาน มีประเภทของข้อมูลต่างๆ ตามที่เราต้องการ โดยสามารถแยกประเภทของข้อมูลต่างๆ ได้ตามตาราง

http://www.comnetsite.com/images/c-programming-tip18_1.gif
 
ตัวดำเนินการในภาษา C

เครื่องหมายดำเนินการในภาษา C แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ใหญ่ๆ คือ

1. เครื่องหมายคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operators) 

 

 2. เครื่องหมายเปรียบเทียบ (Relational and Logical Operators)

 


3. เครื่องหมายตรรก (Logical Operators)

เครื่องหมาย && (AND)

เครื่องหมาย || (OR)
3. เครื่องหมาย ! (NOT)


ลำดับความสำคัญของตัวดำเนินการ
     เป็นการเรียงลำดับการดำเนินการทางเครื่องหมายของภาษา C ว่าจะให้ความสำคัญกับเครื่องหมายใดก่อนหรือหลังในการดำเนินการทางคณิศาสตร์ โดยจะเรียงลำดับความสำคัญจากตารางต่อไปนี้


เราลองมาดูตัวอย่างกันซักหน่อย


อธิบายโปรแกรม
จากตัวอย่างจะเห็นว่ามีการประกาศตัวแปร คือ x เป็นตัวแปรชนิดจำนวนเต็ม y และ z เป็นตัวแปรแบบทศนิยม x++ หมายถึง การนำค่า x มาบวกเพิ่มไปอีก 1 ส่วน z = (x+y)*2/3+1; เป็นการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ซึ่งค่าที่ได้จะนำไปเก็บไว้ที่ตัวแปร z จากประโยค (x+y)*2/3+1 นี้ เราสามารถคำนวณโดยใช้วิธีลำดับความสำคัญของตัวดำเนินการได้ดังนี้
วงเล็บสำคัญสุด
( x+y) = 3+3.5 = 6.5 ----------> 6.5*2/3+1
เครื่องหมายคูณสำคัญสุด
6.5*2 = 13 ----------> 13/3+1
เครื่องหมายหารสำคัญสุด
13/3 = 4.333333 ----------> 4.333333+1
z = 5.333333
เครื่องหมายและตัวดำเนินการต่างๆ ที่กล่าวถึงในบทความนี้จะถูกนำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมในครั้งต่อๆ ไป ให้ลองจดจำไว้เพื่อที่จะนำไปใช้งานได้อย่างคล่องตัวขึ้น ซึ่งเมื่อเราเขียนโปรแกรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตัวดำเนินการเหล่านี้จะมี ความสำคัญในการใช้งานมากขึ้นด้วย

ต่อไปเรามารู้ถึงข้อดีและข้อเสียของภาษาซีกันดีกว่าค้าาาา

ข้อดี

-เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่อาศัยหลักการที่เรียกว่า"โปรแกรมโครงสร้าง"จึงเป็นภาษาที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมระบบ
-เป็นคอมไพเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงให้รหัสออบเจ็กต์สั้นทำงานได้รวดเร็วเหมาะกับงานที่ต้องการความรวดเร็วเป็นสำคัญ
-มีความคล่องตัวคล้ายภาษาแอสแซมบลีภาษาซีสามารถเขียนแทนภาษาแอสแซมบลีได้ดีค้นหาที่ผิดหรือแก้โปรแกรมได้ง่ายภาษาซีจึงเป็นภาษาระดับสูงที่ทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ
-มีความคล่องตัวที่จะประยุกต์เข้ากับงานต่างๆได้เป็นอย่างดีการพัฒนาโปรแกรมเช่นเวิร์ดโพรเซสซิ่ง สเปรดชีต ดาตาเบส ฯลฯ มักใช้ภาษาซีเป็นภาษาสำหรับการพัฒนา
-เป็นภาษาที่มีอยู่บนเกือบทุกโปรแกรมจัดระบบงานมีในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตั้งแต่8บิตไปจนถึง32บิตเครื่องมินิคอมพิวเตอร์และเมนเฟรม
-เป็นภาษาที่รวมข้อดีเด่นในเรื่องการพัฒนาจนทำให้ป็นภาษาที่มีผู้สนใจมากมายที่จะเรียนรู้หลักการของภาษาและวิธีการเขียนโปรแกรมตลอดจนการพัฒนางานบนภาษานี้

ข้อเสีย
 - เป็นภาษาที่เรียนรู้ยาก
 - การตรวจสอบโปรแกรมทำได้ยาก
 - ไม่เหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการออกรายงานที่มีรูปแบบซับซ้อนมากๆ

จบแล้วขอบคุณข้อมูลดีๆและรูปภาพจาก
-https://sites.google.com/site/bbmm2553/prawati-khwam-pen-ma-khxng-phasa-si
-http://guru.sanook.com/6394/
-http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000131021
-http://www.comnetsite.com/c-programming-tip18.php

 

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

       ฮัลโหลกลับมาอีกแล้วนี้เป็นบทความที่สามของเรารอบนี้เราจะมาพูดถึงโซเซียลเน็ตเวิร์คที่ทุกคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

เริ่มด้วยความหมายของSocial Network กัน
        โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ

 


 เรามาทำความรู้จักประเภทของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) กันดีกว่า...
    
 การจัดประเภทของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้นสามารถแยกได้ตามรูปแบบ และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
 
โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามรูปแบบ แบ่งได้เป็น
 1.Blog หรือ บล็อก คือเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง มาจากคำว่า Weblog (Website + Log) ซึ่งคำว่า Log ในที่นี้หมายถึง “ปูม” ดังนั้น Blog จึงมีลักษณะเป็นเว็บไซต์ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดียวกับปูม มีการเรียงลำดับตามวันที่บันทึก  ข้อมูลใหม่ที่ Post จะอยู่บนสุด  ส่วนข้อมูลเก่าจะอยู่ล่างสุดโดยบล็อกสมัยนี้ไม่ได้อยู่ลำพังเดี่ยวๆ แต่มีลักษณะเป็น Community ที่รวบรวม Blog หลายๆ Blog เข้าไว้ด้วยกันสามารถเชื่อมโยงผู้เขียน (Blogger)ได้เป็นสังคมขนาดใหญ่ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงผู้อ่านไว้กับผู้เขียนได้โดยสามารถคอมเม้นต์บทความติดตามหรือกดโหวตได้ เช่น Blogger เป็นต้น

2.ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อบอกถึงสถานการณ์ และความเป็นไป ไมโครบล็อกที่มีผู้นิยมใช้บริการ เช่น Twitter

3.โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์ นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like)การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น
4.เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้

 อิทธิพล  Social Network  ต่อสังคมไทย
        ในปัจจุบันสื่อประเภทใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลกับสังคมไทยอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีชื่อว่า Social network ทุกคนคงสงสัยว่า Social network คืออะไร แล้วเข้ามีอิทธิพลอย่างไร อย่างที่ปรากฏในข่าวต่างๆ ในประเทศไทยพึ่งเคยเกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่สังคมไทยไม่เคยที่จะ เรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตหรือเปล่า แล้วมีวิธี แก้ไข ป้องกัน อิทธิพลของ Social network คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยกว่าสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อ กลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและ กันได้
       เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและ การใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้ เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเวปไซต์ ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา

ประเภทของ Social Network

  1.Identity Network เผยแพร่ตัวตน เช่น Myspace.com ,Hi5 ,Facebook เป็นต้น ใช้สำหรับนำเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองทางอินเตอร์เน็ท รวมถึงการสร้างกลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่ม ๆ บนเครือข่าย
 2.Creative Network เผยแพร่ผลงาน เช่น YouTube ,Flickr  สามารถนำเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง
 3.Interested Network ความสนใจตรงกัน เช่น del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ  Social Bookmarking โดยเป็นการ บุ๊คมาร์ค เว็บที่เราสนใจไว้บนอินเทอร์เน็ตสามารถแบ่งปันให้คนอื่นดูได้และยัง สามารถ บอกความนิยมของเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้
 4.Collaboration Network ร่วมกันทำงาน คือเป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือส่วนต่าง ๆ ของซอฟต์แวร์ เช่น Google
 5.Gaming/Virtual Reality โลกเหมือน เช่น Second.life


การศึกษา
      เรื่องต่อมาที่ผมอยากจะนำเสนอคือเรื่อง การใช้ประโยชน์จาก Social Network กับระบบการศึกษาไทยครับ มีความจริงอยู่เรื่องนึงที่เป็นปัญหากับระบอบการศึกษาไทยมาเป็นเวลาช้านาน (เป็น Thailand Only อย่างนึง) แล้วก็คือ เด็กไทยไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น (แต่กล้าทวีต) ถ้าเป็นอย่างนั้นส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะมีการทดลองนำเอา Twitter มาประยุกต์กับระบบการศึกษาของไทยคงจะดีไม่น้อยใช่มั้ยครับ หรือการใช้ Social Network เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กไทย ยกตัวอย่างเช่น
       มีรุ่นน้องของผมคนนึงพยายามสร้างสังคมออนไลน์ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมระบบการ ศึกษาไทย ส่งเสริมให้เด็กไทยเขียนบทความกันมากขึ้น หรือมีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านทาง Social Network (http://do.in.th/) นี้ ซึ่งเป็นไอเดียที่แจ่มแมวและเป็นที่น่ายินดีของประเทศไทยที่มีเด็กที่มีความ สามารถและเสียสละเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาหรือแม้แต่สังคมไทยต่อไป ขอปรบมือให้ครับ

ต่อมาทุกคนคงอยากรู้กันแล้วว่า Social Network ที่เราใช้งานกันอยู่มีประโยชน์มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง..
      บริษัทต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้ Blog ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริหารมากขึ้น เนื่องจากจัดการใช้งาน และอัพเดทให้ทันสมัยได้ง่าย อีกทั้งยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี เพราะ Blog ส่วนใหญ่จะสำรวจและแยกประเภทความสนใจของสมาชิกอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก และสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าผ่านข้อความแสดงความคิดเห็น ได้อีกด้วย


ข้อดีของ Social Network
1.สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
2.เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่าง ๆเพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
3.ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกแบะรวดเร็ว
4.เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดีโอต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
5.ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ บริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ
6.ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ ๆ


ข้อเสียของ Social Network
1.เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล
2.เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรืออาจนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่มีข่าวในสื่อหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ
3.เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพ ต่าง ๆ ได้
4.ข้อมูลที่ต้องการกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้ 

 4-1-1-socialnetwork
 

ทุกสิ่งยอมมีทั้งข้อดีและข้อเสียของมันอยู่ที่เราแต่ละคนจะเลือกประโยชน์ของมันมาใช้ในด้านไหน ขอจบเท่านี้55555555555555555บัยบายยยยยยย
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก 
http://s5631l10140.blogspot.com/p/blog-page.html
http://prajuk52334223.blogspot.com/2011/12/social-network.html
http://www.microbrand.co/social-network-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/
http://www.krui3.com/content/6847

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 สถานที่มหัศจรรย์สวยจนตะลึงไปทั่วโลก

สถานที่มหัศจรรย์สวยจนตะลึงไปทั่วโลก 

      ฮัลโหลลลลนี้เป็นบทความที่สองของเราแล้ววันนี้จะไม่พูดเรื่องที่มันเกี่ยวกับเรื่องเรียน55555555555เรามาหลุดไปสถานที่มหัศจรรย์ที่สวยจนทุกคนตะลึงกันดีกว่ามาเริ่มกันเลยความทุกคนจะอยากไปเหมือนกับเรา

1.Victoria Falls bordering Zimbabwe and Zambia in Africa

 

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
     เคยเล่นน้ำตกที่เสียวขนาดนี้ไหม? 355 ฟุตจากหน้าผา น้ำตกนี้ตั้งอยู่ที่ชายแดนของประเทศแซมเบีย และซิมบับเวเป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดในทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ที่แซมเบียยังเรียกที่นี่ว่า “สระว่ายน้ำของซาตาน” ได้ยินเพียงแค่นี้นักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยก็อดที่จะไม่ไปสักครั้งหนึ่ง ไม่ได้แล้วล่ะ 

 2.Trolltunga in Hordaland, Norway

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
         Trolltunga มีความหมายว่าลิ้นของโทรลล์ ด้วยความที่เป็นชะง่อนผาที่มีลักษณะคล้ายกับการแลบลิ้นออกมาจากภูเขาประมาณ 2,000 ฟุตลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้นั่นเอง หากยอมปืนเขาที่สูงกว่า 700 เมตรนี้ได้ จะเห็นวิวที่คุ้มค่ากับที่ปืนขึ้นมาแน่นอน เพราะวิวของแม่น้ำ Ringedalsvatnet สวยอย่างกับภาพวาด แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินขึ้นเขาถึง 8-10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ถึงกลางเดือนกันยายน

3.Whitehaven Beach at Whitsunday Island in Australia

 
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
        ความขาวของหาดไวท์ฮาเว่น ที่เป็นหนึ่งในหมู่เกาะวิธซันเดย์อันโด่งดังของออสเตรเลีย ชายหาดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นชายหาดที่มีทรายขาวละเอียดโดยเม็ดทรายเป็นผลึก ซิลิการะยิบระยับถึง 98% ซึ่งเชื่อกันว่าที่มีชายหาดสวยงามขนาดนี้ก็เพราะกระแสน้ำในบริเวณนี้ที่พัด พาให้ทรายจากทะเลพัดเข้าฝั่งเป็นเวลากว่าหลายล้านปี นอกจากนี้ทรายที่มีมีลักษณะเฉพาะนอกจากขาวละเอียดสวยงามแล้ว ยังเป็นทรายที่ไม่เก็บความร้อน ทำให้เราสามารถเดินชิลล์เท้าเปล่าริมหาดได้อย่างสบายๆ 

4.The Grand Canyon in Arizona, United States

 

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
      หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ของโลกก็คือที่นี่ “Grand Canyon” เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของรัฐอริโซน่า ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคาสิโนชื่อดังอย่าง ลาสเวกัสประมาณ 3-4 ชั่วโมง แกรนด์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทลายของหินเป็นเวลา 225 ล้านปีมาแล้ว ในบริเวณซอกหลืบของหุบเขาน้อยใหญ่ยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรม ของชาวอินเดียนแดงโบราณอีกด้วย

 5.Marble Caves at General Carrera Lake in Patagonia (Argentina and Chile)

 

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
        ถ้ำหินอ่อนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเล สาบการ์เรรา (General Carrera) ทะเลสาบขนาดใหญ่ในเขตภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนั้นระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินา และชิลี เป็นถ้ำที่เกิดจากกระแสน้ำได้กัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนภูเขาหินอ่อนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนอันงดงามไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก 

 6.Salar De Uyuni in the Potosí and Oruro departments of southwest Bolivia

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
        Salar de Uyuni เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ได้ชื่อว่าเป็น กระจกเงาที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ราบที่ประกอบด้วยเกลือจำนวนมหาศาลบนเนื้อที่ 10,582 ตารางกิโลเมตร เป็นทะเลเกลือใหญ่ที่สุดของโลก อยู่ติดเขตระหว่างสองจังหวัดคือ Potosi และ Oruro ทางตอนใต้ของประเทศโบลิเวีย ลองมาตอนหน้าฝน จะเหมือนได้ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลที่สะท้อนกับท้องฟ้าราวกับกระจก

7.Enchanted Well at Chapada Diamantina in Bahia, Brazil

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
          ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติ Chapada Diamantina ในบราซิล น้ำในบ่อนี้ใสราวกับกระจก ถึงแม้จะลึกถึง 120 ฟุตแต่ก็สามารถมองเห็นโขดหินที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างเห็นชัด

8.Antelope Canyon in Arizona, United States

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
        หุบเขาแอนทีโลพ เป็น 1 ในสถานที่ยอดนิยม สำหรับนักท่องเที่ยว อยู่ที่เมืองเพจ รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยภูมิประเทศที่เป็นร่องหินทรายที่ถูกน้ำกัดเซาะและได้ทิ้งร่องรอยการกัด เซาะที่คล้ายกลับหินผา เกิดจากการพังทลายของชั้นหิน Navajo Sandstone ซึ่งถูกกัดเซาะอย่างฉับพลันจากกระแสน้ำที่ซัดผ่าน ผสานความแรงจากกระแสลม พายุฝน ผ่านฤดูกาลต่างๆ ที่นี่กลายเป็น หุบเขาที่อันตรายที่สุด เนื่องจากบริเวณนั้นอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ตลอดเวลา และระดับน้ำสามารถสูงถึง 10 เมตรทีเดียว อีกทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดใจช่างภาพทั่วโลก เพราะสีสันจากธรรมชาติซึ่งเกิดจากการตกกระทบของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่าน ช่องแคบ สะท้อนกับสีของชั้นหิน Navajo Sandstone เกิดเป็นความสวยงามสุดประทับใจแก่ทุกสายตา

9.Fingal’s Cave on the island of Staffa in Scotland

27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
27 สถานที่มหัศจรรย์ สวยจนตะลึงไปทั่วโลก ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย!! (ตอนที่ 2)
        แม้ว่า ถ้ำฟิงกอล ที่ประเทศสกอตแลนด์ นี้มันอาจจะดูเหมือนเป็นโครงสร้างบล็อกๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่ความจริงแล้วเสาหินหกเหลี่ยมนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจำนวนมาก ด้วยสภาพถ้ำที่เป็นโพรงแนวยาว ทำให้ภายในถ้ำเกิดเป็นเสียงสะท้อน คล้ายเสียงดนตรีได้ด้วย บางทีคนก็เรียกถ้ำนี้ว่า “Cave of melody”

วันนี้ขอนำมาให้ตื่นเต้นกันแค่ 9 สถานที่ก่อนเตรียมตังกับเก็บกระเป๋ากับเถอะทุกคนนนนบ้ายยยยยยย
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก  http://travel.truelife.com/detail/3039252

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 1 เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน


เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน


สวัสดีค่ะทุกคนที่กำลังอ่านบล็อคของเราอยู่ เราชื่อเฟรน นี้เป็นบทความแรกของเราเราจะมาพูดถึงเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

ในสมัยนี้เทคโนโลยีเป็นสิ่งหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญซึ่งมีผลต่อสังคม สภาพทางเศรษฐกิจเทคโนโลยีมีหลายรูปแบบมีทั้งเป็นประโยชน์และโทษเรามาเริ่มทำความรู้จักกับเทคโนโลยีสารสนเทศกันค่ะ
ก่อนอื่นเลยจะพูดถึงจุดกำเนิดของเทคโนโลยีสารสนเทศกัน

กำเนิดเทคโนโลยีสารสนเทศ

                  จุดกําเนิดของเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ ความต้องการในการที่จะสื่อสารกันเพราะอยู่คนละอําเภอคนละตําบลหรือคนละจังหวัดกันจึงคิดค้นหาวิธีที่จะติดต่อสื่อสารกัน โดยเริ่มจากการส่งจดหมายเพราะเมื่อมีการค้าเกิดขึ้นการที่จะติดต่อกันนั้นถือเป็นเรื่องสําคัญเลยก็ว่าได้อย่างที่กล่าวไว้ว่าได้เริ่มจากการส่งจดหมายกันจึงมีการคิดค้นวิธีที่จะติดต่อสื่อสารกันมากขึ้นหลายวิธีจึงทําให้เกิดพัฒนาการทางด้านนี้ ซึ่งจะมี หลายวิธีมากยิ่งขึ้น รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาทั้งกระนั้นก็ยังมีความต้องการที่จะติดต่อบุคคลที่อยู่คนล่ะประเทศกันเพื่อการค้าหรือด้วยเหตุต่างๆ จึงทําให้เกิดการคิดค้นการส่งสัญญาณไฟฟ้าและเปลี่ยนเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งสามารถใส่ทั้งคําพูดหรืออักษรส่งหาถึงกันได้โดยผ่านทางสายต่างๆและนี่ก็คือจุดเริ่มต้นและการพัฒนาของเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน
    ความหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
        เทคโนโลยีสารสนเทศ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Information Technology เรียกย่อๆว่า “IT”หรือ ไอที โดยมีคําที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 คําคือ
                   เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาทําให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เทคโนโลยีจึงเป็นวิธีการในการสร้างมูลค่าเพิ่มของสิ่งต่างๆให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น เช่น ทรายหรือซิลิกอน เป็นสารแร่ที่พบเห็นทั่วไปตามชายหาดหากนํามาสกัดด้วยเทคโนโลยีและใช้เทคนิควิธีการสร้างเป็นชิป(chip)สําหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆจะทําให้สารแร่ซิลิกอนนั้นมีคุณค่า และมูลค่าเพิ่มขึ้นได้อีกมาก
                  สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความจริงของคน สัตว์สิ่งของทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม หากมีการจัดเก็บรวบรวม เรียกค้น และสื่อสารระหว่างกันนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สารสนเทศมีความหมายที่กว้างไกลซึ่งนักเรียนจะได้เรียนเพิ่มเติม
                        เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) 
หมายถึงการนําเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและคอมพิวเตอร์มาใช้สร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ ทําให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่จะรวบรวมจัดเก็บใช้งาน ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน โดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เป็นสื่อหลัก
                  ทั้งนี้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการสารสนเทศที่สําคัญได้แก่เทคโนโลยีการสื่อสาร คอมพิวเตอร์ สารสนเทศ ขั้นตอนวิธีการดาเนินการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์เกี่ยวข้องกับตัวข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรเกี่ยวข้องกับกรรมวิธีการดําเนินงาน เพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด
ลักษณะสารสนเทศที่ดี
เนื้อหา (Content)
  
·       ความสมบูรณ์ครอบคลุม (completeness)
·       ความสัมพันธ์กับเรื่อง (relevance)
·       ความถูกต้อง (accuracy)
·       ความเชื่อถือได้ (reliability)
·       การตรวจสอบได้ (verifiability)
รูปแบบ (Format)
                   ชัดเจน (clarity)
      ·  ระดับรายละเอียด (level of detail)
      ·       รูปแบบการนําเสนอ (presentation)
      ·       สื่อการนําเสนอ (media)
      ·       ความยืดหยุ่น (flexibility)
      ·       ประหยัด (economy)

เวลา (Time)
·       ความรวดเร็วและทันใช้ (timely)
·       การปรับปรุงให้ทันสมัย (up-to-date)
·       มีระยะเวลา (time period)
กระบวนการ (Process)
  • ·      ความสามารถในการเข้าถึง (accessibility)
  •  ·         การมีส่วนร่วม (participation)
  •  ·         การเชื่อมโยง (connectivity)


  ต่อไปเป็นประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศค่ะประโยชน์ของเทคโนโลยีมีมากกว่านี้แต่เราขอนำมายกตัวอย่างเท่านี้ก่อนนะคะ

     ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ
                   การกําเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นก้าวสําคัญที่นําไปสู่ยุค สารสนเทศในช่วงแรกมีการนําเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคํานวณแต่ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สําคัญสําหรับการจัดการข้อมูลเมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้นทําให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลายผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมีมากมีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวางผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยรวมกล่าวได้ดังนี้
                         การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอํานวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคุมระบบ ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นต้น
                        สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนําคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คํานวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทํารายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียนปัจจุบันมีการเรียนรู้การสอนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น
                         เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่าง จําเป็นต้องใช้สารสนเทศเช่น การดูแลรักษาป่า จําเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมการติดตามข้อมูลสภาพอากาศการพยากรณ์อากาศ การจําลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับปรุงแก้ไขการเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่างๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วยที่เรียกว่าโทรมาตร เป็นต้น
            เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหาร มีการใช้เทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ลวนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ ระบบป้องกันภัย ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทํางาน
                         การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจําเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้ขอมูลข่าวสารเพื่อการบริหาร และการจัดการ การดําเนินการและยังรวมไปถึง ้การให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น
                            ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวตประจําวันบทบาทเหล่านีมีแนวโน้มที่สําคัญมากยิ่งขึ้นด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จงควรเรียนรู้ขึ้นและเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจะได้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ตอประเทศต่อไป

แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต
   การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีแนวโน้มที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์เช่นการเข้าภาษาสื่อสารของมนุษย์โครงข่ายประสาทเทียมระบบจําลอง ระบบเสมือนจริงโดยพยายามนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้นลดข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้นําไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย
 แนวโน้มใน ด้านบวก
 1.การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมช่องทางการดําเนินธุรกิจเช่น การทําธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง และบันเทิงต่างๆ เกมออนไลน์
 2. การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถฟังและตอบเป็นภาษา พูดได้ อ่านตัวอักษรหรือลายมือเขียนได้ การแสดงผลของคอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง เป็นแบบสามมิติ และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เสมือนว่าได้อยู่ในที่นั่นจริง
 3. การพัฒนาระบบสารสนเทศ ฐานข้อมูล ฐานความรู้ เพื่อพัฒนาระบบผู้เชี่ยวชาญและการจัดการความรู้ การศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) การเรียนการสอนด้วยระบบโทรศึกษา (tele-education) การค้นคว้าหาความรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน(virtual library)
4.การพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมระบบการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายดาวเทียม ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทําให้สามารถค้นหาตําแหน่งได้อย่างแม่นยํา
5.การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินการของภาครัฐที่เรียกว่ารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์(e-government) รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน หรือ e-citizen
แนวโน้มใน ด้านลบ
1.ความผิดพลาดในการทํางานของระบบคอมพิวเตอร์ทั้งส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบและพัฒนาทําให้เกิดความเสียหายต่อระบบและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา
2. การละเมิดลิขสิทธิ์ของทรัพย์สินทางปัญญา การทําสําเนาและลอกเลียนแบบ

เราขอยกมาแค่นี้ก่อนน้าาาาาคือมันมีอีกเยอะมากกกกกกกกกกก บัยบายยยขอบคุณค้าาา

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก http://khianhin.blogspot.com/